วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

พ่อแม่ยุคใหม่ควรรู้! การสอนให้ลูกรู้ทันเทคโนโลยี ใช้สื่ออย่างถูกหลัก

พ่อแม่ยุคใหม่ควรรู้! การสอนให้ลูกรู้ทันเทคโนโลยี ใช้สื่ออย่างถูกหลัก

ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่เว้นแม่กระทั่งเด็กวัยไม่กี่ขวบ ที่ปัจจุบันสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ได้สนุกสนานไม่แพ้ผู้ใหญ่เล่นเลย ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาหลัก ๆ ในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่พอสมควร ที่บางครั้งก็ให้ลูกใช้เทคโนโลยีฆ่าเวลา หรือไม่มีเวลาเลี้ยงเพียงพอ จนอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้
งานวิจัยชี้ สอนให้เด็กรู้ทัน ดีกว่าปิดกั้นและบล็อคทุกทาง
มีงานวิจัยจากประเทศอังกฤษ โดย Education Policy Institute ได้ระบุว่า การเลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยีนั้น ผู้ปกครองควรให้ความรู้ความเข้าใจกับลูกมากกว่าที่จะปิดกัน หรือบล็อคการใช้อินเตอร์เน็ตทุกช่องทาง เพราะถ้าหากสอนกันด้วยเหตุผลและความเข้าใจ ก็มีโอกาสที่เด็กจะได้ประโยชน์ และมีพัฒนาการจากการเรียนรู้ที่มากกว่าในตำราเท่านั้น 
สถิติที่น่าสนใจจากงานวิจัยชิ้นนี้
จากงานวิจัยได้ระบุสถิติที่เกี่ยวข้องคือ เด็กชาวอังกฤษที่มีอายุอยู่ในช่วง 15 ปี มีการใช้อินเตอร์เน็ทสูงถึง 27% และใช้เวลาอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตมากถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีการใช้งานพื้นที่ออนไลน์ส่วนตัวอย่าง Facebook, Instragram, Twitter มากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเว็บไซต์ที่ค่อนข้างจะมีความเสี่ยงในการแฝงอันตรายมากที่สุด หากไม่มีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจากการเลี้ยงลูกของผู้ปกครอง
 
พ่อแม่สามารถสอนอะไรลูกได้บ้าง?
คงจะเป็นคำถามที่คาใจคุณพ่อคุณแม่อยู่พอสมควร ว่าในการเลี้ยงลูกด้วยอินเตอร์เน็ตนั้น จะสอนอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะในเด็กไทยซึ่งปัจจุบันนี้มีแนวโน้มที่เด็กจะใช้อินเตอร์เน็ตไปในทางผิด ๆ มากยิ่งขึ้น โดยสิ่งแรก ๆ ที่ควรสอน ก็ควรจะเป็นเรื่องของการใช้โซเชียลให้เหมาะสม ไม่ควรด่าใคร หรือใช้คำหยาบคายในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่ควรแชร์อะไรที่เป็นสิ่งไม่ดี รวมทั้งไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวกับใครที่ไม่รู้จักมาก่อน  
เพราะอาจเกิดเรื่องของมิจฉาชีพมาทำการหลอกลวงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังควรสอนเรื่องของการถูกคุกคามในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะทั้งทางคำพูด และทางเพศ เช่น ถูกเพื่อนรุมต่อว่า หรือการใช้ถ้อยคำหยาบคาย ถ้อยคำลามกจากเพศตรงข้าม 
วิเคราะห์ :  เทคโนโลยีก็มีทั้งประโยชน์และโทษในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ปกครองจะสอนให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจแค่ไหน และควรหมั่นสังเกตการณ์ใช้เทคโนโลยีของลูกเป็นประจำ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที

หากติดอยู่ภายในถ้ำ เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ตัวไหนจะช่วยเราได้

หากติดอยู่ภายในถ้ำ เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ตัวไหนจะช่วยเราได้
หลังมีข่าวน้อง ๆ และโค้ชทีมฟุตบอล “หมูป่าอะคาเดมี่” ติดอยู่ในถ้ำหลวง เขตอุทยานขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิ.ย. 61 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน (ที่เขียนบทความนี้) ยังไม่ทราบชะตาชีวิตของทั้ง 13 คนเลย  หากเราไปเจอเอง จะมีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์อะไรมาช่วยให้เอาตัวรอดได้บ้าง

Power Bank กันน้ำ 

gjt-power-bank

เพื่อช่วยยื้อพลังงานของสมาร์ทโฟนที่เป็นปัจจัยสำคัญ  Power Bank หรือแบตฯ สำรอง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยชาร์จพลังงานแก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ใช้งานต่อไปได้ ส่วนใหญ่ก็เอามาชาร์จสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต แต่สำหรับกรณีที่ต้องเอาไปลุยในถ้ำ ที่อาจได้เจอน้ำดินทรายหรือการปีนป่ายกับหมอบคลาน Power Bank ทั่วไปไม่เหมาะแน่ ๆ ดังนั้นจึงต้องหา Power Bank ที่มีความทนทานสูง ๆ หน่อย อย่างพวกรุ่นที่สามารถกันน้ำกับกันกระแทกได้ดี  และควรมีความจุอย่างน้อย 10,000 mAh ขึ้นไปก็จะดี

ไฟฉาย small-black-flashlight-696x46

ไฟฉายถือเป็นอุปกรณ์แรก ๆ สำหรับใครที่กำลังจะไปสำรวจถ้ำหรือเดินป่า ต้องพกติดตัวแน่นอน เพราะมันคืออุปกรณ์กำเนิดแสงสว่าง ที่มนุษย์เราต้องพึ่งมันในการส่องทางในที่มืด หรือเอาไว้ใช้แทนโคมไฟชั่วคราวก็ยังได้ ทั้งนี้มันจะมีไฟฉายแบบหนึ่งที่มีอายุการใช้งานนานเป็นพิเศษคือ “ไฟฉายเขย่า” เวลาพลังงานใกล้หมด ก็สามารถชาร์จมันด้วยการเขย่าได้ บางตัวก็ชาร์จโดยการเอามือบีบหลาย ๆ ครั้งก็มี ซึ่งก็ทำให้เราแทบจะมีไฟฉายใช้งานได้เรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ควรเอาไฟฉายประเภทนี้ไว้เป็นอุปกรณ์สำรองดีกว่า เพราะความสว่างยังถือว่าน้อยกว่าไฟฉายปกติ และจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีอายุการใช้งานได้ตลอดกาลซะทีเดียว

หลอด LED แบบ USB maxresdefault-2-696x392

เมื่อเรามี Power Bank ความจุสูง ๆ แล้ว ก็แนะนำหลอดไฟพกพาเล็ก ๆ ที่ใช้พลังงานจากช่อง USB-A โดยตรง เมื่อนำไปต่อกับ Power Bank ก็จะได้เป็นโคมไฟขนาดย่อม ที่มีอายุการใช้งานนานได้ระดับหนึ่ง

เครื่องกรองน้ำพกพา sawyer-mini-hydration-pack-howww.portablewaterfilters.org

ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคนเราไม่สามารถขาดน้ำได้ ในถ้ำส่วนใหญ่มักจะมีน้ำจืดขังอยู่ โดยอาจมาจากน้ำฝนหรือแม่น้ำภายนอกไหลซึมเข้ามา แต่น้ำเหล่านี้คงเทียบกับน้ำที่ดื่มกินปกติได้ไม่แน่ เพราะมักจะมีเศษตะกอนมากมาย และอาจมีเชื้อโรคพอควร จึงเป็นที่มาของ “เครื่องกรองน้ำพกพา” ซึ่งปัจจุบันพัฒนาจนสามารถกรองน้ำได้แทบทุกที่แล้ว 

ออกซิเจนกระป๋อง

บางที่ในถ้ำอาจมีออกซิเจนเบาบางหรือมีคาร์บอนไดออกไซด์สูง ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อุปกรณ์ที่พอช่วยในสถานการณ์แบบนี้ได้ก็คงมี “ออกซิเจนกระป๋อง” ที่ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง มีข้อดีคือพกพาง่าย ข้อเสียคือ มีปริมาณอากาศไม่มากนัก 

Estream แบตฯ สำรองพลังกระแสน้ำ

Enomad Uno ก็จะมีรูปร่างเป็นท่อเล็ก ๆ ติดใบพัดที่ถอดแยกออกจากกันได้ เมื่อนำไปจุ่มลำธารที่มีกระแสน้ำไหลอยู่ ก็จะทำให้ใบพัดหมุนจนเกิดเป็นพลังงานกล แล้วกลายเป็นพลังงานไปชาร์จตัว Power Bank อีกทีนั่นเอง ถ้าโชคดีในถ้ำที่ติดอยู่มีกระแสน้ำไหลแรง ก็สามารถเอาตัว Enomad Uno ผูกติดเชือกแล้วหย่อนลงกระแสน้ำที่เจอได้ 
Zippo Hand Warmer ที่อุ่นมือ
Zippo Hand Warmer เป็นที่อุ่นมือแบบพิเศษ ซึ่งบางคนน่าจะเคยเห็นเมื่อหลายปีมาแล้ว ส่วนการทำงานของอุปกรณ์นี้ ก็ใช้หลักการเผาไหม้ภายในของใย “Rayon” สร้างเป็นไอความร้อนในตัว วิธีใช้ก็นำน้ำมันไฟแช็ก เทผ่านถ้วยตวงน้ำมันที่แถมมาลงไปในตัว Zippo จากนั้นก็เอาไฟแช็กมาลนจนเริ่มมีความร้อน เสร็จแล้วก็นำไปใส่ในซองที่แถมมาอีกเช่นกัน ทำให้กลายเป็นถุงสำหรับอุ่นมือออกมา ช่วยป้องกันความหนาวได้พอประมาณในระยะหนึ่ง 
วิเคราะห์ : เทคโนโลยีมีความจำเป็นต่อชีวิตของเราในปัจจุบันมากเนื่องจากมีความสะดวกสบายในการใช้งานและการพกพาในบางชนิด และสามารถช่วยเราในยามคับขันได้

เทคโนโลยีการรักษา "แผลที่เท้า" ของผู้ป่วย "เบาหวาน"

เทคโนโลยีการรักษา "แผลที่เท้า" ของผู้ป่วย "เบาหวาน"

แผลเบาหวานที่เท้า   (Diabetic Foot Ulcer)

  1. 85% ของผู้ป่วยเบาหวานที่ถูกตัดเท้ามีแผลบริเวณเท้ามาก่อน
  2. 40% - 70% ของโรคเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการถูกตัดขา/เท้า
  3. ทุกๆ 30 วินาทีมีผู้ป่วยเบาหวานสูญเสียเท้าจากการถูกตัดขา/เท้า
  4. 1 ใน 6 รายของผู้ป่วยเบาหวาน ต้องเคยมีบาดแผลอย่างน้อย 1 ครั้ง
โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของการถูกตัดขาหรือเท้า ซึ่งการถูกตัดเท้าในผู้ป่วยเบาหวานส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมากเพราะ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ทำให้อาจสูญเสียงานและอยู่ในสภาพที่ต้องการการฟื้นฟูในช่วงแรก ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
ซึ่งเทคโนโลยี การรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยแผลเบาหวานที่เท้า จะสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องตัดขาทิ้ง พร้อมทั้งให้ข้อมูลในการป้องกันและการดูแลผิวหนัง ให้เหมาะสำหรับผู้ป่วยในแต่ละบุคคล เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากแผลและลดโอกาสของการสูยเสียอวัยวะของผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ  โดยเทคโนโลยีการรักษาที่ใช้ ได้แก่
  1. Ultrasonic ( เทคโนโลยีการเลาะเนื้อเยื่อเล็ก )
                เครื่องมือที่จะช่วยการรักษาแผลเป็น โดยวิธีปล่อยคลื่นความถี่ต่ำไปบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลักษณะการทำงานจะมีฟองก๊าซ ขนาดเล็กคล้ายโพรงอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันในเซลล์ การทำงานของคลื่นอัลตร้าโซนิกจะเพิ่มพลังงานจลน์ ของการเคลื่อนที่ของโมเลกุลภายในเซลล์  ส่งผลให้จำนวนของเชื้อแบคทีเรียและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วบนแผลและไบโอฟิล์มก็จะถูกลบออกโดยไม่มีความเสียหายใดที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
  1. Versajet Debridement ( การผ่าตัดด้วยน้ำ )
                นวัตกรรมโดยใช้เครื่องแรงดันน้ำโดยใช้เครื่องฉีดน้ำเกลือที่มีมีดโกน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่าตัด  ระบบนี้ช่วยให้สามารถเร่งการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อแบคทีเรียและสารปนเปื้อนที่ไม่สามารถกำจัดได้จากแผล การเผาไหม้และการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน โดยใช้เทคนิคการรักษาเนื้อเยื่อ ซึ่งช่วยลดเวลาในการปิดบาดแผลลงและอาจลดต้นทุนการรักษาโดยรวมอาศัยหลักการชะล้างบาดแผล โดยไม่ก่อให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อแกรนูเลชั่น ( Granulation Tissue )
ข้อดี
- ลดจำนวนแบคทีเรียบริเวณบาดแผล
- คงไว้ซึ่งเนื้อเยื่อที่ดี
- กำจัดเนื้อเยื่อที่ตายหรือเซลล์ที่ตายแล้วทิ้งไป
- ส่งเสริมช่วยให้ผลของการผ่าตัดดีขึ้น
- เนื้อเยื่อที่ดีบริเวณใกล้เคียง โดนทำลายน้อยที่สุด
  1. Hyperbaric oxygen therapy ( HBOT )  ( เทคโนโลยีการบำบัดออกซิเจนเพื่อสุขภาพ )
                การบำบัดด้วยออกซิเจนในอากาศสูง เป็นการรักษาผู้ป่วยด้วยการหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ในขณะที่ผู้ป่วยเข้าไปอยู่ภายใต้สภาพความกดบรรยากาศสูงที่ 1 บรรยากาศ จากการศึกษาพบว่า HBO ช่วยในการรักษาแผลที่ดีขึ้น แผลที่หายสนิท ลดความเสี่ยงต่อการตัดแขนขา โรคที่เกิดอากาศอักเสบเรื้อรัง, รักษาแผลเรื้อรังจากการเป็นโรคเบาหวาน
ข้อดี 
  1. ลดความพิการ และ การสูญเสียอวัยวะ ช่วยให้บาดแผลเรื้อรังบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่เกิดอาการขาดออกซิเจนหายเร็วขึ้น จึงลดระยะเวลาในการรักษา รวมถึงลดค่าใช้จ่าย ในการรักษา และนอกจากนี้ การทำ HBOT ยังช่วยเสริมออกซิเจนให้กับสมองทันที หรือเนื้อเยื่อ ที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ  ดังนั้นผู้ป่วยที่มาด้วยการลดความกดอากาศ แรงดันในห้องปรับบรรยากาศ HBO จะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่สะสมในร่างกาย ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดเพิ่มสูงขึ้นตามมา ส่งผลให้ออกซิเจน แพร่ออกจากเส้นเลือดฝอยได้ไกลสามารถไปเลี้ยงสมอง และร่างกายส่วนปลายได้เพียงพอ
  2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท เมื่อร่างกายสามารถได้รับออกซิเจนสูงกว่าการใช้ออกซิเจนตามปกติหลายเท่า จะสามารถช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  3. ช่วยสร้างคอลลาเจนและเส้นเลือดใหม่ ออกซิเจนบริสุทธิ์ทำให้เกิดการกระตุ้นสร้างเซลล์อ่อน และทำให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ รวมถึงการสร้างเส้นเลือดฝอยเพิ่มขึ้นในบริเวณที่ขาดเส้นเลือด ดังนั้นผู้ป่วยที่ต้องฉายแสงรังสี แล้วต้องทำการรักษาด้านทันตกรรม ( ฟันผุเนื่องจากได้รับรังสี ) จะช่วยให้แผลหายไวขึ้น เช่นเดียวกับแผลเบาหวาน
วิเคราะห์ : เทคโนโลยีบางชนิดถูกพัฒนาให้มาช่วยในการรักษาทางการแพทย์ ได้ดีกว่าการรักษาแบบก่อน

“เทคโนโลยีติดรถยนต์” ที่ฉันขาดเธอไม่ได้!


“เทคโนโลยีติดรถยนต์” ที่ฉันขาดเธอไม่ได้!

     นับวันเทคโนโลยีในรถยนต์ยิ่งพัฒนาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ใครจะไปคิดว่าเทคโนโลยีบางอย่าง ซึ่งในช่วงเริ่มแรกเรามองเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่จำเป็น ที่สำคัญเป็นออฟชั่นที่แพงแสนแพง กลับกลายเป็นสิ่งที่คนใช้รถจะขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบัน 
กระจกไฟฟ้า
102
     หากย้อนกลับไปในสมัยคุณพ่อการจะเปิดกระจกรถแต่ละครั้งจะต้องใช้พละกำลังจากแขนและมือด้านขวา วันดีคืนดีฟันเฟืองเกิดฝืดขึ้นมาจะเปิดกระจกแต่ละครั้งเล่นเอากล้ามขึ้นกันเลยทีเดียว ก่อนที่ปัจจุบันกระจกไฟฟ้าแทบจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่ออกจากโรงงาน
แบตเตอรี่แบบแห้ง
103
     ในยุคปัจจุบัน แบตเตอรี่ในรถส่วนใหญ่เป็นแบตแบบแห้งที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเหมือนกับแบตในยุคก่อน ฉะนั้นแบตเตอรี่แบบแห้งถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ทำให้คนใช้รถยุคนี้วางใจไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเป็นเวลาหลายๆเดือน และเชื่อแน่ว่าร้อยทั้งร้อยไม่อยากที่จะกลับไปใช้แบตเตอรี่ชนิดที่ต้องคอยเติมน้ำกลั่นอยู่อีกครั้งแน่นอน
เซ็นเซอร์ถอยและกล้องมองหลัง
101

     คนใช้รถที่อายุ 35 ขึ้นไป ย่อมต้องเคยผ่านประสบการณ์ถอยรถด้วยความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ จากการกะระยะด้วยตัวเองและมองกระจกหลัง ทว่านับจากเทคโลโนยี เซ็นเซอร์ถอยและกล้องมองหลัง ทำให้สะดวกขึ้น
กุญแจรถระบบ Keyless
105
      เนื่องจาก Keyless ในรถรุ่นใหม่ๆ เพียงแค่คุณพกมันไว้ในกระเป๋า แล้วใช้มือสัมผัสไปที่ที่จับเปิดประตู เซ็นทรัลล็อคก็จะทำการเปิดให้แบบอัตโนมัติ มันสะดวกมากมายกับคนที่ถือของพะรุงพะรังแล้วต้องรีบขึ้นรถ 
ระบบเบรก ABS
100
ที่มา : https://auto.sanook.com/65121/
     นี่คือเทคโนโลยีเรื่องความปลอดภัย ซึ่งในความเป็นจริงเราอาจไม่ได้ใช้มันเลยก็เป็นได้ หรือบางคนเคยสัมผัสกับระบบนี้แต่ไม่รู้ว่ามันคือระบบเบรก ABS ที่ย่อมาจาก Anti-lock Brake System หรือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ล้อรถของคุณไม่ล็อกจนควบคุมทิศทางไม่ได้ในขณะที่เบรกแบบกะทันหันหรือประสบอุบัติเหตุ
วิเคราะห์ : เทคโนโลยีบางชนิดให้ความสะดวกสบายมากจนเกินไปทำให้ผู้ใช้งานเริ่มชินและอาจเคยตัว จนลืมความยากลำบาก

IFA 2018 : Lenovo เปิดตัว Yoga Book C930 แล็ปท็อป “2 จอ” ที่ใช้เป็นคีย์บอร์ด E Ink ได้

Lenovo นำแล็ปท็อปหลายรุ่นมาเปิดตัวภายในงาน IFA 2018 (31 ส.ค. – 5ก.ย.) ซึ่งเป็นงานจัดแสดงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี 
สำหรับ Yoga Book C930 นั้น มีจุดเด่นในด้านดีไซน์ที่นำหน้าจอ E Ink มาแทนแป้นพิมพ์แบบเดิม อีกทั้งยังมีบอดี้ที่บาง และน้ำหนักเบามาก
ถึงแม้จะดูคล้ายแท็บเล็ตมากกว่า แต่ Yoga Book C930 ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานเช่นเดียวกับแล็ปท็อปรุ่นใหญ่ๆ ด้วยประสิทธิภาพชิปประมวลผลเจนเนอเรชั่นที่ 7 ของ Intel และระบบปฏิบัติการ Windows 10 พร้อมบานพับที่ให้เปิดหน้าจอได้ 360 องศา ทำให้ใช้งานแบบแท็บเล็ตได้ และรองรับปากกา Stylus ด้วย
ในส่วนหน้าจอที่ 2 ซึ่งเป็น E Ink นั้น นอกจากจะใช้เป็นแป้นพิมพ์แล้วนั้น ยังสามารถใช้ในการจดโน๊ต รวมถึงอ่านและเขียนบนเอกสาร PDF ได้อย่างคล่องตัวอีกด้วย

สเปค Lenovo Yoga Book C930

เร็วและปลอดภัย iPhone iPad ครองส่วนแบ่งตลาดกลุ่มองค์กรมากที่สุด!



สื่อต่างประเทศรายงานข้อมูลจากการเก็บรวบรวมมาทั้งหมด 12 เดือนหรือ 1 ปีว่า ผู้ใช้งานกลุ่มองค์กรเลือกใช้ iPhone ถึง 46% และ iPad ได้ไปสูงถึง 32% รวมเป็น 78% ในขณะที่อีก 22% เลือกใช้ OS อื่นๆ อย่าง Android หรือ Windows 10 mobile เป็นต้น
5 อุปกรณ์ของ Apple ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
  1. iPhone 7
  2. iPhone 6s
  3. iPad Air 2
  4. iPhone 7 Plus
  5. iPhone 6
วิเคราะห์ : Apple ถือเป็นบริษัทที่พัฒนา Ecosystem ของตัวเองได้อย่างดี สามารถมอบประสิทธิภาพการใช้งานที่ดี เร็ว และมีความปลอดภัยสูง แต่เมื่อในส่วนแบ่งตลาดระดับเดสก์ท็อปมีส่วนแบ่งที่ 9% 


Google Chrome อัปเดทครบรอบ 10 ปี ปรับดีไซน์ยกเครื่องทั้งเดสก์ท็อปและสมาร์ทโฟน!!

สำหรับบนเดสก์ท็อปนั้นจะมีการปรับเรื่องความโค้งมนที่จุดต่างๆ ในเบราเซอร์ เช่น แท็บแสดงผลเว็บไซท์โค้งมนขึ้น ช่อง URL สำหรับใส่ลิงก์โค้งมนขึ้น รวมถึงปรับสีสันและไอคอนใหม่ทำให้ดูเรียบหรูมากขึ้นด้วย
แท็บสำหรับค้นหาหรือ Omnibox (Address bar) ฉลาดขึ้น สามารถแนะนำสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการค้นหาได้ดีกว่าเดิมโดยไม่ต้องเปิดแท็บใหม่เลยครับ เช่น ข่าววงการบันเทิง สภาพอากาศ ข่าวกีฬา
นอกจากนี้ยังปรับปรุงดีไซน์ของ Chrome สำหรับ iOS โดยเพิ่มแท็บด้านล่างคล้ายๆ กับ Safari เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานด้วยมือเดียวมากขึ้น
วิเคราะห์ : มีความแม่นยำมากขึ้นในการใส่รหัส ที่อยู่ และเลขบัตรเครดิต ด้วยการเก็บข้อมูลผ่านบัญชี Google ของผู้ใช้งานเอง และยังสามารถแนะนำรหัสที่ปลอดภัย ยากต่อการแฮ็ค

Apple Watch Series 4 จะมีความละเอียดหน้าจอมากกว่า Series 3 และบอดี้ใหญ่ขึ้นด้วย

ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ 9to5Mac ได้รายงานว่า Apple Watch Series 4 จะมีขนาดตัวเรือนใหญ่ขึ้น 15% และรายงานล่าสุดได้ระบุว่าจะมีความละเอียดหน้าจอ 384 x 480 พิกเซล, 345 ppi ซึ่งสูงกกว่า Apple Watch Series 3 ที่มีความละเอียด 312 x 390 พิกเซล, 303 ppi
นอกจากนี้ Apple Watch Series 4 จะมีขอบจอบางลง ทำให้มีพื้นที่หน้าจอเพิ่มมากขึึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้โดยตรง อีกทั้งเม็ดมะยมสีแดงบน Apple Watch Series 3 ก็เปลี่ยนเป็นวงกลมสีแดงแทนด้วย
วิเคราะห์ : คิดว่าดี เพราะมีการปรับหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น ง่ายต่อการมองเห็นที่ชัดเจน

เทคโนโลยี "เลเซอร์" รักษาอาการ "ภูมิแพ้"


โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบมากในสังคมไทย ซึ่งจากสถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย พบโรคภูมิแพ้ในเด็กไทยสูงขึ้นร้อยละ 38 พบในผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 20 ทำให้ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น 3 - 4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา

สาเหตุของการเกิดภูมิแพ้

  • กรรมพันธุ์ ซึ่งหากพ่อเเม่มีประวัติของโรค ลูกจะมีโอกาสเป็นถึงร้อยละ 75 
  • การเปลี่ยนเเปลงของสิ่งเเวดล้อม
  • การไม่ออกกำลังกาย ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเเอ
  • การรับประทานอาหารจานด่วน หรือฟาสต์ฟู้ด ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
  • มลภาวะจากอุตสาหกรรม การจราจร และควันบุหรี่
  • การเลี้ยงสัตว์
  • การปูพรม
  • การติดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้เชื้อไรฝุ่นเจริญเติบโตได้ดี 
ทั้งนี้โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายมีความผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ ส่งผลให้มีอาการผิดปกติในสารที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ อาทิ ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ ซึ่งในร่างกายคนปกติ จะเเพ้สารก่อภูมิแพ้ ได้น้อยมาก หรืออาจจะไม่มีอาการ แต่สำหรับในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อาการจะเกิดขึ้นแตกต่างกันออกไป  ความรุนแรงไม่เท่ากัน เเม้ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ชนิดเดียวกันก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้ ที่ได้รับ เเละการตอบสนองของอวัยวะนั้นๆ  โดยโรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ไม่หายขาด  เเต่เป็นโรคที่มีการเเปรปรวนในตัวเองสูง หากไม่มีการดูเเลสุขภาพโรคภูมิแพ้ก็อาจจะกลับมาเป็นได้ใหม่  สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ การออกกำลังกายให้ร่างกายเเข็งเเรงอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

เลเซอร์ รักษาอาการภูมิแพ้

อย่างไรก็ตาม สำหรับในบางคนที่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง จะมีเทคโนโลยีทางการเเพทย์ที่สามารถรักษาอาการได้ คือ การรักษาโดยการใช้เลเซอร์ ซึ่งจะทำการยิงเลเซอร์ไปที่ตัวเซ็นเซอร์ที่รับและสัมผัสได้ไวในโรคภูมิแพ้ จะอยู่ที่ปลายจมูกบริเวณด้านหน้า เรียกว่า Inferior Turbinate เพื่อไปทำลายตัวรับสัญญาณภูมิแพ้ที่อยู่บริเวณดังกล่าวให้ทำงานน้อยลง โดยจะไม่เกิดปฏิกิริยากระตุ้นสารก่อภูมิแพ้อีก และยังช่วยลดขนาด จำนวนของเส้นเลือดที่อยู่ใต้เยื่อบุโพรงจมูก ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้โล่งขึ้น มีน้ำมูกน้อยลง โดยพลังงานเลเซอร์ จะทำให้เนื้อเยื่อเเข็งตัว จากนั้นจะมีการปรับสภาพของเส้นเลือดเเละเยื้อบุ และประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีสะเก็ดแผล แล้วเพียงกลับมาเอาสะเก็ดออก ก็จะมีความรู้สึกโล่งจมูก อาการภูมิแพ้ลดลง ปริมาณการใช้ยาก็ลดลง 
เทคโนโลยี "เลเซอร์" รักษาอาการ "ภูมิแพ้"


วิเคราะห์ : หลังการรักษาคนไข้เพียงระวังเรื่องการว่ายน้ำ เเละการเเคะจมูกเเรงๆ  เพราะอาจส่งผลให้เเผลหายช้าได้  ซึ่งการยิงเลเซอร์รักษาอาการภูมิแพ้ สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไป และคิดว่าการรักษาโดยใช้เลเซอร์น่าจะช่วยรักษาอาการภูิแพ้ได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Donald Trump ชี้ ถ้าไม่อยากให้ของแพง Apple ต้องย้ายฐานผลิตกลับมาอยู่ในอเมริกา

ก่อนหน้านี้มีประเด็นที่ Tim Cook รายงานว่าสินค้าของ Apple บางรายการได้แก่ Apple Watch, Apple Pencil และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จะมีราคาที่สูงเนื่องจากกำแพงภาษีระหว่างจีนและอเมริกา ล่าสุด Donald Trump ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวแล้วครับ
Donald Trump รายงานกับผู้สื่อข่าวว่า “สินค้าของ Apple จะมีราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากกฏหมายภาษีใหม่ แต่วิธีแก้ปัญหานี้ง่ายมากๆ โดยการย้ายฐานการผลิตกลับมาที่อเมริกา ทำให้ภาษีเป็น 0”
วิเคราะห์ : การย้ายฐานการผลิตกลับจากจีนมาที่อเมริกาจะทำให้ภาษีกลายเป็น 0 ก็จริง แต่ค่าแรงการผลิตในสหรัฐอเมริกานั้นแพงกว่าจีนมาก และคนงานไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าคนงานในจีน

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อาการ "เสพติดโทรศัพท์มือถือ" ปัญหาใหญ่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล!

อาการ "เสพติดโทรศัพท์มือถือ" ปัญหาใหญ่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล!
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าในยุคสังคมก้มหน้าขณะนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารได้ตามติดตัวเราไปทุกที่ซึ่งทำให้เกิดความผูกพันถึงขั้นการติดโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แท็บเลต หรืออุปกรณ์อื่นๆ นั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่ชั่วโมงการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ไปจนถึงความวิตกกังวลและปัญหาซึมเศร้า
istock-505839618www.istockphoto.com












ที่มา : https://www.sanook.com/hitech/1458793/
ผลการสำรวจหลายชิ้นทำให้พบว่า ตัวเลขของผู้ที่มีอาการติดเทคโนโลยีและตัดไม่ขาดจากอุปกรณ์มือถือนั้น มีอยู่ราว 1 - 6% และปัญหาดังกล่าวเริ่มเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Apple

รวมทั้งฝรั่งเศสเองก็ได้ออกมาตรการห้ามส่งอีเมลหลังเลิกงาน และกำลังออกกฎหมายห้ามนักเรียนนักศึกษาใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่ของโรงเรียนด้วย

คุณ Tanya Goodin ผู้เขียนหนังสือชื่อ "Off: Your Digital Detox for a Better Life" กล่าวว่าขณะนี้เราได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า digital babysitting คือการที่พ่อแม่ผู้ปกครองยอมให้บุตรหลานของตนใช้อุปกรณ์มือถือเร็วกว่าสมัยก่อนมาก
วิเคราะห์ : จะกล่าวโทษเด็กวัยรุ่นหรือคนยุคเจนเนอเรชั่น Y ไม่ได้เพราะว่าเกินกว่าครึ่งบ่อยครั้งที่พ่อแม่ดูจะสนใจให้เวลากับโทรศัพท์มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนอยากจะสนทนาหารือกับพ่อแม่

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Facebook งานเข้า ผู้ใช้งานเริ่มตีตัวออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ

 Pew Research Center ได้เผยแพร่ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาของผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาต่อ Facebook พบว่า ตอนนี้ผู้ใช้งานเริ่มหมางเมิน Facebook มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จากผลสำรวจพบว่า 26% ของผู้ใช้งาน Facebook เดิม ได้ลบแอปพลิเคชั่นออกจากสมาร์ทโฟนแล้วอย่างน้อย 1 ปี และผู้คนที่เริ่มปรับตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างแน่นหนาขึ้นคิดเป็น 54% ในขณะที่อีก 46% กำลังใช้น้อยลงเรื่อยๆ
ผลสำรวจนี้เก็บในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม ถึง 11 มิถุนายน โดยมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นทั้งหมด 5,000 คน 42% จาก 5,000 ไม่ได้เข้า Facebook มาหลายสัปดาห์แล้ว
ทั้งนี้ผู้ใช้งานที่มีอายุระหว่าง 18-29 ให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลและความส่วนตัวมากเป็นพิเศษ โดยเน้นไปที่การปรับการตั้งค่าเพื่อเพิ่มความแน่นหนาเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล บางส่วนเลิกใช้งาน Facebook ไป ในขณะที่กลุ่มผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไปไม่ได้สนใจเรื่องความเป็นส่วนตัวมากเท่าไหร่นัก และมีเพียง 10% เท่านั้นที่ลบ Facebook ออก
วิเคราะห์ : Facebook มีการช่วยเหลือเรื่องการป้องกันข้อมูลส่วนตัวน้อยทำให้ผู้ใช้กลัวว่าข้อมูลส่วนตัวจะไม่ปลอดภัย